ประสบการ์ณสมัคร Top MBA ที่ MIT Sloan

          น้องๆ ที่อยากสมัครเรียน MBA เรียนต่อต่างประเทศใน Top Universities วันนี้ MTU Family มีแขกรับเชิญพิเศษ พี่ Yah Kanyakorn ที่ได้รับการตอบรับจาก Top U ระดับโลก ทั้ง MIT, Cambridge และ UCLA พี่หยาจะมาแชร์ประสบการณ์และเคล็ดลับที่ทำให้ติด Top MBA ระดับโลก มาร่วมค้นหาคำตอบไปพร้อมๆ กันเลยค่ะ

Q1: ก่อนอื่นเลยน้องหยาช่วยแนะนำตัวเองหน่อยค่า?
P’Yah: สวัสดีค่า ชื่อหยานะคะ ปัจจุบันทำงานที่ Land and house เรียนจบสถาปัตย์สาย Design Architect แต่ได้มีโอกาสทำงานสาย Sales Marketing ในระยะเวลา 5 ปี เกือบ 6 ปีค่ะ

Q2: ทำไมถึงตัดสินใจไปเรียน MBA ?
P’Yah:
ตอนเรียนจบใหม่ๆ ก็ทำงาน Architect ตามสายที่เรียนเพราะครอบครัวพี่ก็ทำงานสาย Architect และ Engineer พี่เลยรู้สึกว่าอยากทำอะไรที่มากกว่าการ Design เลยเป็นจุดเริ่มต้นเข้าสู่วงการ Real Estate เพราะการออกแบบบ้านและขายมัน effect กับ community ที่เยอะกว่า ซึ่งช่วงที่เริ่มทำ Real Estate ทำให้พี่อยากไปเรียน MBA แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าอยากเรียนไหม ทำไมต้อง MBA ก็เลยค่อยๆ ตามหาตัวเองโดยช่วงนั้นเป็นช่วงสอบ GMAT พี่ก็รู้สึกเฟลเพราะถ้าเรียน Real Estate ก็ต้องใช้ GMAT ซึ่งพอได้มาทำงานสาย Sales Marketing พี่ก็รู้สึกว่าพี่ชอบ ตลอดเวลา 3-4 ปี พี่เลยค่อยๆ บ่มเพาะและตกผลึกกลายเป็นสิ่งที่พี่ชอบค่ะ

Q3: ขอคำแนะนำสำหรับน้องๆ ที่ยังตัดสินใจในสิ่งที่ชอบไม่ได้หน่อยค่ะ?
P’Yah:
แนะนำการทำ Research กับ Course ที่เราสนใจ ยกตัวอย่างของพี่ที่ยังสับสนว่าจะเรียน MBA หรือ Real Estate ก็ได้มีโอกาสดู Curriculum ของ Real Estate ซึ่งมันคล้ายคลึงกับที่พี่กำลังทำงานเลยรู้สึกว่าไม่จำเป็นแล้ว ในขณะที่ MBA มันมี Soft Skills ที่เป็น Intersectional Skills เช่น Communication and Negotiation ซึ่ง MBA ค่อนข้างตอบโจทย์แบบกว้างมากกว่า

Q4: น้องหยาใช้เวลาเตรียมตัวกี่ปี?
P’Yah: ประมาณ 3-4 ปีที่แพลนจริงๆ พี่ก็เคยเป็นคนที่เข้า session ของพี่เจส พี่เมฆ ตั้งแต่ 3-4 ปีที่แล้ว ซึ่งตอนนั้นเหมือนยังไม่แน่ใจ แต่เพราะมีคนชวนก็เลยตามๆมา ซึ่งตอนนั้นมีคนบอกว่าถ้าผ่าน GMAT ไปได้ทุกอย่างก็จะง่ายขึ้น ส่วนตัวพี่เองก็ struggle กับ GMAT ไปประมาณ 2 ปี เพราะด้วยความที่ทำงานหนักไปด้วยเรียนไปด้วย

Q5: แล้วมีวิธีเลือกมหาวิทยาลัยอย่างไร?
P’Yah:
พี่เลือกจาก 2 ปัจจัย ได้แก่ 1.Goals 2.Culture ในส่วนของ Goals พี่ค่อนข้างจะชอบ Real Estate อยากกลับมาทำเลยเลือก school ที่ specialize หน่อยหรืออะไรที่เกี่ยวข้องกับ Design เพราะพี่ก็ยังชอบ Architect อยู่ ส่วนในด้าน Culture จะเป็นในเรื่องของการคุยกับ Alumni เพราะแต่ละ school จะมี Culture ที่ต่างกัน อย่างพี่ด้วยความที่เป็น Architect ก็เลยชอบลงมือทำมากกว่าแล้วก็เป็นคนชิลๆ ไม่เครียดค่ะ

Q6: ได้ยินว่าติดต่อกับ Alumni หลายที่มากๆ ติดต่อทั้งหมดกี่ที่คะ?
P’Yah
: ประมาณ 7 ที่ค่ะ ซึ่งตอนแรกก็ไม่คิดว่าจะคุยเยอะขนาดนี้ แต่เพราะเรามาขนาดนี้แล้วก็เลยลุยไปเลยดีกว่า

Q7: ช่วยแนะนำการเลือกมหาลัยให้ Balance ในแต่ละ Round ไม่ให้หนักเกินไปหน่อย?
P’Yah:
พี่คิดว่าประมาณ 6-7 ที่กำลังพอดี ซึ่งตอนของพี่จังหวะมหาวิทยาลัยไม่ได้ tense มากที่จะต้องยื่น application ใน week เดียวกัน ในส่วนของการเลือก พี่จะไม่ค่อย typical เพราะจะเลือกสูงๆ ไว้ 5 ที่และอันใกล้เคียง 1 ที่คือ Cambridge และ UCLA ซึ่งพี่จะเลือกเฉพาะอันที่เราอยากไปเรียนแน่ๆ ที่เราจะไม่เสียใจถ้าเราไม่ได้ยื่นในภายหลัง

Q8 : ทำยังไงให้มีโอกาสติดมหาลัยระดับท็อป?
P’Yah
: มี Passion และ Perseverance ซึ่งถ้าเราเข้าใจ มันคือ Key Success ที่สำคัญ อย่าง Passion คือการที่เรารู้ว่าเราอินกับอะไร อย่างของพี่ก็จะมีโปรไฟล์ที่ Differentiate ด้วยความที่เป็น Architect และประสานกับ Sale Marketing ส่วน Perseverance จะเป็นในด้านของการที่เรายึดมั่นกับสิ่งที่เราเคยทำจาก Past Experience ซึ่งทาง MIT เค้าไม่สนใจ Goals เค้าอยากรู้แค่ว่าเราทำอะไรมา เราอินกับอะไรและเราจะต้องนำเสนอในแบบ Story Telling ถ้าทำให้ smooth ก็จะเป็นตัวที่สำคัญค่ะ

Q9 : แนะนำน้องๆ ว่าทำยังไงให้ Story ของเราน่าสนใจหน่อย?
P’Yah:
พี่ได้พี่ไผ่ MTU แนะนำ เพราะพี่ไม่ได้มีเพื่อนสาย MBA ที่อยากเรียนด้วยกัน ตอนนั้นทาง MTU มีการแบ่งหัวข้อให้ เช่น Success และ Failure แบ่งให้เราได้ Brainstorm และ Reflect ชีวิต ซึ่งทำให้เราได้มีโอกาสหา Strength ที่เข้ากับ Background ของเราและได้เล่าเป็น Story Telling ซึ่งส่วนที่เหลือจะเป็น Backup ที่ทำให้เรารู้ว่าเรามี Potential แบบไหน 

Q10: ในบรรดาขั้นตอนการสมัคร…ขั้นไหนถือว่ายากที่สุด?
P’Yah:
ถ้านอกจากการสอบ พี่คิดว่าแต่ละคนจะมีความยากง่ายต่างกัน ดังนั้นพี่เลยคิดว่ามันเป็นเรื่องของ Story ว่า Story ไหนมันจะ match กับเรา เพราะตอนที่ทำ Story เป็นช่วงเวลาที่พี่เหนื่อยที่สุด ซึ่งถ้าผ่านไปได้ ทุกอย่างจะดีเลย เพราะทุกอย่างมันแบไว้แล้ว ไม่ว่าเราจะหยิบมาใช้ทำอะไร ไม่ว่า Essay จะมาในรูปแบบไหน ยิ่งตอน Interview พี่รู้สึกได้เลยว่าเตรียมตัวน้อยมาก เพราะเตรียมมาหมดแล้ว ซึ่งการทำ Story มันทำให้เราได้ Reflect ชีวิต เพราะตอนทำงานเราไม่ได้ Pause มาดู Value หรือสิ่งที่เราอยากทำซึ่ง Process Application ทำให้เราได้คิดว่าอีก 3 ปีเรียนจบเราจะทำอะไรค่ะ

Q11: จากที่ผ่าน Process Application ไม่นับ GMAT คิดว่าอุปสรรคคืออะไรแล้วก้าวผ่านได้ยังไง?
P’Yah:
ตอนแรกพี่กังวลว่าพี่จะ Qualify ไหม เพราะพี่เรียนสาย Architect มาไม่ใช่วิศวะหรือบัญชีมันจะโอเคไหม ซึ่งพี่ๆ MTU ก็ทำให้พี่มีความมั่นใจมากขึ้นว่าเขาต้องการคนที่หลากหลาย ไม่จำเป็นต้องเก่งแต่เลขและรู้สึกว่าจิตใจก็เป็นอุปสรรคเพราะตอนคะแนนไม่ออกพี่ Break down มากๆ ซึ่งก็ได้พี่ไผ่ MTU คอยให้กำลังใจค่ะ

Q12: แล้วต้องทำกิจกรรมเยอะไหม?
P’Yah:
จริงๆ กิจกรรมตอนมหาลัยไม่ได้เยอะมากแต่พี่ทำ Design ที่เป็น Probono แบบเราไปออกแบบให้ชุมชน ซึ่งพี่ไม่แน่ใจว่าเยอะไหมถ้าเทียบกับคนอื่น พี่คิดว่ามันคือการทำในสิ่งที่เราทำประจำอย่างต่อเนื่องและยิ่งมัน link กับ Goal ของเรา ก็เหมือนได้โชว์ Passion ของเรามากขึ้น

Q13: อยากทราบเรื่องคะแนนและประสบการณ์การทำงาน?
P’Yah:
พี่ได้คะแนน GMAT 690 ซึ่งอาจจะต่ำกว่า 700 แต่พี่ไม่ไหวแล้วเลยจะมาเน้นทำ Story ของเราให้โดดเด่นมากกว่า แล้วก็การทำงานคือ 5 ปีเปลี่ยนตำแหน่งไปแล้ว 3 รอบ ซึ่งเป็น Design Architect ประมาณ 2 ปีครึ่ง ก่อนจะย้ายมาทำ Sales Marketing แล้วก็มาทำ Cooperate Marketing

Q14 : ใช้จุดไหนเป็น Strength ในการได้รับการตอบรับเข้าเรียนที่ MIT?
P’Yah:
พี่ว่าจุดเด่นก็น่าจะเป็นที่พี่เป็น Architect แล้ว Story และ Clip ที่ส่งไปด้วย Background การทำงานหลายสายมันคือการขวนขวายและยังมี concern อีกอย่างที่คิดว่า MIT เค้าต้องการคือใน Application เค้าจะ Requires สิ่งนั้นมาเลย เช่น ลงเรียน Calculus ตอนไหนให้ Specific มา แล้วก็มีอันที่ดีมากคือได้พี่ๆ MTU คอยแนะนำว่าพี่ไม่มี Experience เลยแนะนำให้ไป Take Course ซึ่งก็เหมือนการ โชว์ว่าถึงจะไม่มี Experience แต่เราอยากเรียนจริงๆ นะ

Q15 : ถ้าไม่ได้ทำกิจกรรมเพื่อสังคมจะเป็นอะไรไหม?
P’Yah:
อันนี้พี่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ แต่คิดว่าไม่จำเป็นต้องกิจกรรมเพื่อสังคมเท่านั้น เช่น ตอนที่พี่เป็นโค้ชนักกีฬาเปตองก็ไม่ได้เพื่อสังคมขนาดนั้น คำว่ากิจกรรมเพื่อสังคมไม่จำเป็นต้องทำเพื่อสังคมจ๋าแต่คือการทำเพื่อคนอื่นที่ไม่ใช่แค่เพื่อเราคนเดียว

Q16 : มีเรียน Coding เพิ่มไหม?
P’Yah:
ไม่มีค่ะ เพราะเค้า require สาย Stem เต็มที่ซึ่งเค้าก็มีระบุไว้ว่าถ้าไม่เรียนไม่เป็นไรแต่ถ้ามีอันไหนเราควรเพิ่มเติมหรือมี Certificate ก็ส่งไปได้ เพราะเค้าอยากรู้ Passion ของเรา ของพี่นอกจาก MBA ก็จะมีเรียน Modern Marketing ที่ไป take course ของจุฬาค่ะ

Q17: น้องหยาสมัครที่ไหนบ้าง? หรือเฉพาะที่มี Specialized in Real Estate หรือมี Criteria อะไรบ้างในการเลือกมหาวิทยาลัย?
P’Yah:
จริงๆ พี่ให้ Specialized in Real Estate มาอันดับแรก ที่เล็งไว้ก็มี Columbia, UCLA แล้วก็อันที่พี่รู้สึกว่ามีชื่อเสียงด้าน Design ก็จะมี MIT และอันที่เราชอบ Culture แต่เราไม่เหมาะก็คือ Stanford เพื่อ fulfill ตัวเอง แล้วก็มี Harvard, Kellogg เพราะมีคนบอกว่าเป็นโรงเรียน Business ที่สนุกและด้วยความที่ตอนนั้นเราสับสนว่าจะเรียน 1 ปีหรือ 2 ปีดีเลยยื่น 1 ปีของ Cambridge ไปตามอารมณ์ตอนนั้นเลย เวลาพี่ทำ Research มันก็จะมีพวก Visual Session เราก็จะเจอ Alumni เจอเพื่อน ซึ่งพี่รู้สึกว่า MIT มันฟิตพี่ที่สุดด้วยทั้ง Course และ Culture ซึ่งเดี๋ยวเราก็จะเจออันที่เหมาะกับเราเองค่ะ

 Q18 : ทำไมเลือกไปเรียนที่อเมริกามากกว่าอังกฤษ?
P’Yah:
พี่เคยไปเรียน Summer ที่อังกฤษแล้วรู้สึกว่ามันน่าเบื่อประกอบกับความ MBA พี่ไม่มี Background มากพอที่จะจบภายใน 1 ปี และมีความรู้มากเท่าที่ควร พี่ไม่อยากอัดเกินไป แต่พอดู Curriculum ของ 2 ปีมันได้เลือก elective เยอะ ได้ฝึกงานที่พี่รู้สึกว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะกับ Pace ของพี่ ซึ่งอเมริกาส่วนมากหลักสูตรจะเป็น 2 ปีและอังกฤษจะเป็น 1 ปีค่ะ

Q19: เข้าหา Alumni ยังไง?
P’Yah:
พี่ก็ถามคนนั้นคนนี้ให้ช่วย Connect ให้ค่ะ ถ้าเป็นรุ่นเดียวกันก็จะคุยกันง่ายซึ่ง Alumni ทุกคนคือ Nice และ Friendly มากๆ ค่ะ

Q20: EdX MBA ยากไหม?
P’Yah:
พี่เรียนเร็วมากจนรู้สึกว่าเร็วเกินไป เพราะปกติพี่เป็นคนเรียนเร็วอยู่แล้ว พี่ใช้เวลา 1 วิชาต่อ 2 อาทิตย์ ซึ่งปกติเค้ากำหนด 1 วิชาต่อ 6 อาทิตย์ มันไม่ยากเลยเพราะเค้าสอนดีมากค่ะ เพราะเค้ารู้ว่าคนที่มาเรียนไม่มี Background เลยจะไม่ใช่ภาษาที่ยากเกินไป ซึ่งง่ายต่อการทำความเข้าใจมากๆ ค่ะ

Q21: มีคำแนะนำเรื่องคนเขียน Reference สำหรับคนที่ไม่สนิทกับหัวหน้าหรืออาจารย์ไหม?
P’Yah:
ที่พี่ให้เขียนก็จะเป็นหัวหน้าของพี่เพราะว่าส่วนใหญ่เค้าจะเขียนมาว่าต้องเป็น Direct Supervisor 1 คน ซึ่งถ้าเราไม่ได้ Direct Supervisor เราต้องอธิบายเค้าด้วยว่าทำไมไม่ได้ อีกคนหนึ่งก็จะเป็นพี่ที่บริษัทซึ่งสัมพันธ์กับ Shorten Goal ค่ะ

Q22 : มีอะไรจะแนะนำน้องๆ ในการสมัคร Top U ไหม?
P’Yah:
พี่แนะนำว่าควรจะเริ่มได้แล้ว อย่าคิดว่าการเริ่มมันยาก ซึ่งช่วงหนึ่งพี่อยากได้ GMAT มาก่อนหน้านี้ปีสองปี แต่พี่รู้สึกว่ามันยากในการจะต้องทำ SOP หรืออื่นๆ เลยไม่ได้เริ่มสักที แต่พอเริ่มและหาว่าเราจะต้องทำอะไรมันไม่ได้ยากอย่างที่คิด ตอนนั้นพี่ก็ได้มาปรึกษาพี่ๆ MTU ซึ่งมันยิ่งทำให้เรารู้สึกว่ามีคนเดินไปด้วยกันกับเรา เพราะการทำคนเดียวมันยากและเยอะ ถ้าจะไปสอบ GMAT ก็ต้องเริ่มต้นได้แล้วนะคะ เป็นกำลังใจให้ทุกคนนะคะ

ขอขอบคุณพี่ Yah Kanyakorn ที่มาร่วมแชร์ประสบการณ์ในครั้งนี้ด้วยกันนะคะ

น้องๆ ที่อยากสมัคร MBA ใน Top US/UK/Europe/Asia
สามารถขอ Free Consultation Call กับพี่ๆ ได้เลยค่ะ


รับเคล็ดลับเรียนต่อฟรี ส่งถึงมือทุกสัปดาห์ 

น้องๆที่จะสมัคร ไปเรียนต่อ MBA หรือ Master’s Degree สายอื่น อย่าพลาด
ปรึกษาฟรี!!!! คลิกเลย FREE CONSULTATION
ฟังเรื่องราวความสำเร็จของนักเรียน MTU คลิกเลย

บทความที่เกี่ยวข้อง

EP167: เราควรสมัคร Round 1 หรือ Round 2 ดี?

Round 1 Deadline ใกล้เข้ามาแล้วค่ะเหลือ 5 สัปดาห์สำหรับ HBSเหลือ 7 สัปดาห์สำหรับ Wharton/Kellogg เหลือ 9 สัปดาห์สำหรับ MIT Sloanหลายคนสับสน กังวล ตัดสินใจไม่ถูกรอบ 1 เข้าง่ายกว่ารอบ 2 จริงมั้ย? ครูพี่เจส ภัคศิกร ทับทิมทอง อดีต

Read More »

EP188: 8 เทรนด์สมัคร Top MBA ในรอบ 10 ปี #รู้อดีตเพื่อเข้าใจอนาคต

แนวการสมัคร MBA ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเป็นอย่างไรกันบ้าง มาฟังใน Podcast นี้กันค่ะ ครูพี่เจส ภัคศิกร ทับทิมทอง อดีต Admissions Committee ที่ Kellogg, Northwestern University และเป็นผู้บริหารบริษัท Mission To Top U TopU Talk

Read More »

EP68: ปรากฎการณ์ชานม KOI The (โคอิเตะ)

เรื่องราวของ KOI THE (โคอิเตะ) ในประเทศไทย ครูพี่เจส ภัคศิกร ทับทิมทอง อดีต Admissions Committee ที่ Kellogg, Northwestern University และเป็นผู้บริหารบริษัท Mission To Top Uเรื่gi TopU Talk The Podcast ·

Read More »
Scroll to Top