น้องๆ ที่อยากเรียนต่อด้านกฎหมาย แล้วยังมีความกังวลอยู่ พี่แสตมป์จะพามาไขข้อข้องใจไปกับ 8 คำถาม พร้อมคำตอบเกี่ยวกับ LLM กันค่ะ

Q1: IELTS/TOEFL ควรได้เท่าไหร่ ถ้าอยากสมัคร LLM Top U?

P’Stamp: สำหรับคะแนนทดสอบภาษาอังกฤษทั้ง IELTS และ TOEFL สำหรับมหาลัยฝั่งของอังกฤษจะใช้ IELTS เท่านั้น แต่ฝั่งอเมริกา ส่วนใหญ่แล้วจะสามารถใช้ได้ทั้ง IELTS และ TOEFL ครับ มหาลัย Top 20 ควรได้คะแนน IELTS 6.5 ขึ้นไป แต่ถ้าเป็นมหาลัย Top 10 ควรได้คะแนน 7.0-7.5 ส่วนในฝั่งของอเมริกา คะแนน TOEFL ควรจะได้ 100+ ถือว่ากำลังดี

Q2: Recommender ควรเป็นคนมีชื่อเสียง หรือ Alumni ของมหาลัยที่จะสมัครหรือไม่?

P’Stamp: พี่มองว่าหากมี Recommender เป็น Alumni ถือเป็นแต้มต่อ เพราะ Alumni ถือเป็นคนที่มหาลัยรู้จักอยู่แล้ว แต่ถ้า Recommender ไม่ได้เป็น Alumni ก็อยู่ที่การเขียนว่าจะแนะนำอะไรใน Recommender ของเรา

Q3: Extracurricular Activities หรือ กิจกรรมนอกเวลาจำเป็นไหม ในการสมัคร LLM?

P’Stamp: ถ้าเป็น Top U โดยเฉพาะที่ US เขาจะมี Diversity quota จะไม่ได้ดูแค่เกรดอยู่แล้ว ยิ่งถ้าเรามีกิจกรรมเพิ่มก็ยิ่งดี แต่ในกรณีที่เกรดยังไม่ได้ดีมาก หากมี Academic Activities เช่น มีการแข่งขันทางวิชาการ หรือ Non-Academic Activities คือการไปช่วยเหลือคนอื่น ก็จะช่วยดึงตัวตนของเราออกมา ทำให้ outstanding จากคนอื่น เพื่อให้มหาลัยได้เห็นว่าเราตอบโจทย์ในการเรียนที่นี่

Q4: เรียนจบปริญญาตรีแล้ว สามารถไปเรียนต่อโท LLM ได้เลยไหม?

P’Stamp: LLM หรือ Master of Law อยากให้คนที่มีประสบการณ์ทางด้านกฎหมายไปต่อยอดหรือไปศึกษาเพิ่มเติม เพราะฉะนั้นเลยอยากแนะนำว่า ถ้ามาเรียน LLM ควรมีประสบการณ์ ในการทำงานก่อน เพราะเป็นแต้มต่อในขั้นตอนการสมัครด้วย ยกเว้นในระหว่างเรียนเราเป็นนักสะสมกิจกรรม ได้ทำอะไรที่เป็น impact ต่อตัวเราและสังคมก็สามารถนำเสนอไปตอนสมัครได้ แต่ในกรณีที่เรายังไม่มีประสบการณ์ทำงานหลังเรียนจบ เราต้องมีความชัดเจนมากๆ ว่าเราอยากจะทำด้านไหน ต้องมีประวัติกิจกรรมที่บอกได้ว่า สิ่งๆ นี้ทำให้เราอยากเรียน LLM สาขานี้ วิชานี้ครับ

Q5.เราควรสมัคร LLM ทั้งหมดกี่มหาวิทยาลัยดี?

P’Stamp: ก่อนอื่นต้องดูว่าเรามีเป้าหมายอะไร เช่น เราต้องการศึกษากฎหมายด้านทรัพย์สินทางปัญญา เราก็ต้องดูว่า Top U ที่เราเลือกมีกี่แห่งที่มีชื่อเสียงและอาจจะดู Acceptance Rate หรืออัตราการรับเข้า แล้วนำมาเทียบกับ Profile ของเรา และลองเลือกประมาณ 3-5 มหาลัย ถือเป็นตัวเลขที่สมเหตุสมผล ดูในแต่ละกรณีไป

Q6: LSAC คืออะไร?

P’Stamp: Assembly Credential Service (LSAC) เป็นตัวกลางในการยื่นสมัคร LLM ที่คนสมัครสามารถที่จะยื่นทั้ง ใบสมัคร, คะแนนภาษา, Letter of Recommendation (LOR) และ Transcript ผ่านไปยังตัวกลางนี้ ซึ่งเป็นเว็บไซด์ที่ได้รับความน่าเชื่อถือจาก Law Schools ในอเมริกา หน้าที่ของ LSAC คือคัดกรองความถูกต้อง ความครบถ้วนของ Transcript โดยที่ LSAC จะมี Partner อยู่ทั่วทั้งโลก ซึ่งจะสะดวกและเป็นประโยชน์มากสำหรับน้องๆ ที่จะสมัคร LLM ครับ

Q7: LLM เป็นทางลัดในการสอบเป็นผู้พิพากษาได้จริงหรือไม่ อย่างไร?

P’Stamp: จริงแน่นอนครับ เพราะถ้าหากเรามีโอกาสได้ไปเรียน LLM หรือปริญญาโททางด้านกฎหมายที่ต่างประเทศและต้องเป็นปริญญาโทหลักสูตรที่ ก.ต. หรือ ก.อ. รับรอง เราจะไปเรียนทั้งอังกฤษหรืออเมริกา เมื่อกลับมาที่ไทยเราก็จะมีคุณสมบัติในการสอบสนามจิ๋วทั้งอัยการและผู้พิพากษา คุณสมบัตินี้ก็จะทำให้น้องๆ มีผู้ร่วมเข้าแข่งขันในการสอบน้อยลง ทำให้น้องมีโอกาสได้มากขึ้น ยิ่งไป Top U ยิ่งดี พอน้องมีโอกาสได้บรรจุเป็นข้าราชการตุลาการหรือข้าราชการอัยการ น้องจะมีโอกาสในการได้รับพิจารณาในการทำประโยชน์ในด้านต่างประเทศ ที่เกี่ยวกับตุลาการและอัยการครับ

Q8: ถ้าไม่ได้ทำงานใน Top Law Firm จะมี Profile ที่ดีพอในการสมัคร LLM Top U ได้ไหม?

P’Stamp: สำหรับประสบการณ์การทำงานใน Top Law Firm พี่ก็มองว่าเป็น add-on เพราะแน่นอนว่าชื่อเสียงของ Top Law Firm อย่างเช่น Baker, McKenzie, Tilleke & Gibbins, Hunton Andrews Kurth ถ้าเรามีโอกาสได้ทำงานในที่เหล่านั้น แน่นอนว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าเกิดว่าเรารู้สึกว่าจะสมัครไม่ทัน ไม่มีโอกาสหรืออะไรก็ตาม อย่าเพิ่งหมดหวังครับ เพราะสุดท้ายแล้ว เนื้องานที่น้องทำนั้นสำคัญที่สุด เช่น น้องทำอะไรให้บริษัท น้องได้อะไรจากมัน น้องจะต่อยอดมันยังไง หรืออยากจะเรียนรู้เรื่องนี้จาก Top U นี่ต่างหากคือแต้มต่อที่แท้จริงครับ