สอบ GMAT กี่รอบ? สอบ GMAT ยังไงให้ได้ 740 เรียนต่อ MBA ที่ MIT มาฟังจากพี่ขวัญ Associate Partner ของ Mission To Top U ปัจจุบันเรียนอยู่ที่ MIT MBA กันค่ะ

Q1: พี่ขวัญสอบ GMAT กี่รอบ ถึงได้ 740 คะแนนครับ?

P’Kwan: สองรอบครับ รอบแรก 600 รอบสอง 740 ครับ รอบแรก 600 เตรียมตัวแบบจริงจังเลย ประมาณ 4 เดือน ซึ่ง 600 ก็ถือว่าคะแนนดีนะ แต่ verbal ยังคะแนนน้อยอยู่ครับ

Q2: ทำยังไงให้คะแนนเพิ่มขึ้นจากรอบแรก และใช้เวลานานไหมครับ?

P’Kwan: รอบแรกขวัญสอบเดือนสิงหา ขวัญสอบเดือนธันวา ใน 4 เดือนนั้นสิ่งที่ขวัญเน้นหลักๆเลย คือ Reading Comprehension แล้วขวัญก็มาเข้าใจว่าจริงๆ แล้ว อาจจะมีหลายคนที่เจอปัญหาเดียวกัน คือพอเราไม่ได้เรียนโรงเรียนนานาชาติมา เราเรียนไทยมาทั้งชีวิต ภาษาอังกฤษเราไม่ได้ดีขนาดนั้น เราจะรู้สีกว่า Reading Comprehension คือการอ่านที่เหมือนเวลาเราไปสอบ TOFLE IELTS แต่จริงๆแล้วมันไม่เหมือนกันเลย GMAT มันยากกว่านั้นเยอะ ซึ่งช่วงแรกๆ ขวัญจะใช้วิธีแบบอ่านให้เร็ว skim ข้ามบ้าง ซึ่งตอนที่ขวัญมาฝึก 4 เดือนหลังอะ ทำ Reading Comprehension เยอะมาก แล้วก็ไม่ skim อ่านให้รู้เรื่อง time management ให้ได้ แล้วรู้สึกว่า ส่วนนี้เป็นส่วนใหญ่ที่สุดเลยที่ช่วยให้ทุกอย่างมัน uplift ขึ้นมา พอขวัญสามารถอ่าน passage ยาวๆ แล้วรู้เรื่องได้ในเวลาที่จำกัด มันทำให้ขวัญอ่าน Critical Reasoning และ Sentence Correction ยังไงก็รู้เรื่อง แถมทำได้เร็วขึ้นอีก มันก็เลยทำให้ time management ดีขึ้นไปอีก แล็วก็ RC เป็นพาร์ทที่เวลาเข้าไปสอบ เราแพนิคได้ง่ายมาก เราทำไม่ทันแล้ว อ่านแล้วต้องกลับไปอ่านอีกรอบ เพราะฉะนั้นถ้าเรามั่นใจกับ RC แล้ว มันมีแต่เวลาเหลือครับ

Q3: พี่ขวัญทำยังไงให้อ่าน passage แล้วให้รู้เรื่องมากขึ้นครับ?

P’Kwan: อย่างแรกเลยนะครับ อ่านให้เยอะมากๆ ด้วยความที่ขวัญไม่ได้เรียน international เวลาอ่าน GMAT แล้วเบื่อก็จะไปหาหนังสืออ่านเล่นหรือข่าวมาอ่านเพิ่ม เพื่อให้เรารู้สึกว่าเราอ่านภาษาอังกฤษได้ดีขึ้น อย่างที่สองคือ เทคนิคนี้คือขวัญก็แนะนำอยากให้ลองไปใช้ดู เวลอ่านต้องอ่านให้สนุก คือเรื่องที่ GMAT เอามาออก ขวัญจะทำให้ตัวเองให้รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ใหม่มากๆ เราไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน แต่ขวัญรู้สึกว่าทุกเรื่องที่ GMAT เอามาเขียน มันเป็นเรื่องจริงที่อาจจะเกิดขึ้นจริงในอดีต เป็นประวัติศาสตร์ ในหัวก็เลยอ่านไปเอาความรู้ด้วยแล้วก็สนุก ขวัญฝึกแบบอ่าน 1 รอบแล้วก็เล่าให้ตัวเองฟังอีกรอบก่อนที่จะไปทำอะไร คือขวัญนึกภาพว่า เหมือนเวลาทุกคนดูซีรีย์อะ ทุกคนนั่งดูก็ไม่ได้มีใครจดหรือทำอะไร แต่วันรุ่งขึ้นสามารถคุยกับเพื่อนได้รู้เรื่องหมดเลย ขวัญพยายามอ่าน passage ให้เหมือนดูซีรี่ย์ คือ process นี้ใช้ช่วงที่ฝึก แต่เวลาในห้องสอบจะอ่านรอบเดียวให้เข้าใจไปเลย แล้วค่อยไปทำโจทย์ มีกลับมาดูบ้างในคำถามที่เป็น detail แต่เราจะกลับไปดูเร็วมาก เพราะเรารู้ว่ามันอยู่ตรงไหน สำหรับการไม่รู้คำศัพท์ เจอศัพท์ยาก ไม่รู้เรื่อง อย่างน้อยให้รู้ว่าใคร support ใคร ใคร against ใคร อันไหนเห็นด้วย อันไหนไม่เห็นด้วย ถ้าเราอ่านถึงขนาดที่เราแปลผิด เข้าใจผิดว่าเห็นด้วยเป็นไม่เห็นด้วยอันนี้จะแอบยากแล้วครับ

Q4: อยากฝากอะไรถึงน้องๆ ในพาร์ท SC ไหมครับ ?

P’Kwan: SC คือ grammar ต้องรู้ แต่ว่า meaning สำคัญที่สุด อันนี้ขวัญบอกเผื่อไว้บางคนเวลาไปเรียนมา เขาจะรู้สึกว่าถ้ามี grammar อย่างเดียว เขาจะทำได้ ซึ่งมันจริง ถ้าสมมติเรา aim คะแนนประมาณ 600-650 แต่ถ้าเรา aim 700 หรือเหนือจากนั้นขึ้นมา สิ่งที่เขาวัดกันคือเรื่องของ meaning grammar คือส่วนประกอบเพื่อให้เราได้ meaning ที่ถูกต้อง แต่ว่า meaning ไหนที่มันถูกต้อง แต่ว่า meaning ไหนที่มันถูกต้องบางทีในเชิง grammar มันถูกทั้งคู่ เราต้องมาดูเรื่อง meaning แนะนำหนังสือ SC ที่ดีละกัน ถ้าใครอยากลองไปอ่าน หนังสือของ Manhattan ในนั้นเนื้อหาค่อนข้างครบ ส่วนของ CR หนังสือของ Veritas ก็เป็นหนังสือที่ดีเลย ส่วนเทคนิคของ CR ก็จะคล้ายๆกัน อ่านรอบเดียวให้รู้เรื่องละก็ขวัญจะมีสิ่งที่เรียกว่า Pre- thinking หลายๆคนอาจไม่ได้ฝึก เวลาฝึกคืออ่านโจทย์เสร็จแล้ว ขวัญจะยังไม่ไปช้อยส์ ขวัญจะนั่งคิดขึ้นมาก่อนว่า มันน่าจะตอบประมาณไหน เผื่อพอคิดเสร็จดูช้อยส์แล้วเจอสิ่งที่ใช่ก็ตอบเลย Overall ของข้อสอบ GMAT เวลาดูช้อยส์ต่อให้เราคิดว่าข้อนั้นถูกอะ ยังไงเราก็ต้องอ่านทุกข้อ เผื่อยืนยันว่าทำไมข้ออื่นถึงผิดครับ

Q5: อยากให้พี่ขวัญฝากกำลังใจถึงน้องๆ หน่อยครับ?

P’Kwan: : ขวัญเข้าใจว่าทุกคนที่กำลังรู้สึก struggle กับ GMAT อยู่ แต่สักวันนึงไม่นานด้วย มันก็จะจบแล้ว เพราะฉะนั้น สู้ให้เต็มที่ สุดท้ายเราทำได้เท่าที่เราทำได้แหละ แต่ช่วงที่เราทำได้ก็ทำให้เต็มที่ครับ