วันนี้จะมาคุยกันเรื่อง GMAT น้องหลายคนที่อยากสมัคร MBA น่าจะมีหลายคำถามที่ค้างคาใจว่า GMAT ยากมากๆ ทำอย่างไรดี ซึ่งวันนี้พี่เมฆและพี่นิชาจะมาเล่าให้ฟังและตอบคำถามน้องๆ กัน
Q1: วันนี้ได้มีการรวบรวมคำถามที่น้องๆ ชอบถามเกี่ยวกับ GMAT เริ่มจาก GMAT ใช้สำหรับ MBA เท่านั้นไหม ใช้เพื่ออะไร ใช้วัดอะไรบ้าง?
GMAT ใช้สำหรับสอบเข้า MBA เป็นหลัก แต่ก็มีโปรแกรมอื่นของ Master Degree ที่เกี่ยวกับสาย Quant ด้วย เช่น Data Science, Business Analytics ซึ่ง GMAT วัด 2 อย่างหลักๆ คือ Quant วัดทักษะเรื่องของการคำนวณ การคิดเป็นตรรกะ คิดได้รวดเร็วแค่ไหน เหมือนการทดสอบความเร็ว ส่วน Verbal ก็เช่นกัน นอกจากทดสอบความเร็วแล้ว ก็ยังวัดความเข้าใจภาษาอังกฤษ ไวยากรณ์และพวกตรรกะ การคิดวิเคราะห์กลับไปกลับมา Strengthen / Weaken ประมาณนี้ครับ หลักๆ GMAT คือข้อสอบที่วัดความเป็นตรรกะและทดสอบความเร็ว เพื่อให้มั่นใจว่าการที่น้องเข้าไปเรียน MBA หรือ Master Degree อื่นๆ ซึ่งมีความยาก แล้วน้องผ่านไปได้
Q2: การคิดวิเคราะห์เน้นๆ ในเรื่องของการให้เหตุผลและก็มีเรื่องของเลขที่เป็นการทดสอบตรรกะ มีเทคนิคอะไรอยากแชร์ไหมคะ?
นอกจาก GMAT จะวัดตรรกะแล้ว อีกอย่างก็คือเรื่องของ Prioritization (ไล่ระดับความสำคัญ) เพราะเป็นไปไม่ได้เลยที่น้องจะทำข้อสอบถูกทุกข้อ แต่น้องต้องรู้ว่าข้อสอบ GMAT ชอบเอา Topic ไหนของเลข Topic ไหนของอังกฤษมาออกบ่อยๆ และต้องรู้จักตัวเองว่าถ้าน้องมีจุดอ่อนในข้อสอบแบบนี้ แต่ GMAT เอามาออกบ่อยๆ น้องก็ต้องทำให้กลายเป็นจุดแข็งให้ได้และอีกเรื่องคือต้องกล้าตัดช็อยส์ กล้าข้ามข้อ เพราะข้อสอบ GMAT เป็นการทดสอบความเร็ว และต้องทำให้จบ
Q3: แล้ว GRE กับ GMAT ต่างกันอย่างไรคะ?
เดี๋ยวนี้หลายๆ โปรแกรม 90% ใช้ได้ทั้ง GRE และ GMAT ซึ่งความต่างของทั้ง 2 ข้อสอบนี้มีเยอะเหมือนกัน แต่หลักๆ คือ สไตล์ของข้อสอบ น้องๆ ที่เคยไปสอบมาจะพบว่า เลขของ GRE ง่ายกว่า ส่วนอังกฤษต้องท่องศัพท์ 1,000 กว่าคำ
Q4: แล้วอย่างนี้ใน Application form ที่จะมี Resume, Transcript ก็มีการวัดแล้วนะคะว่าน้องเรียนมาเป็นอย่างไร แล้วทำไมยังต้องมีการสอบ GMAT หรือ GRE อีกหรือคะ?
สมมุติพี่ยกตัวอย่าง MBA ซึ่งเป็นโปรแกรมที่อยากได้คนมาจากหลากหลาย Background ซึ่งบางคนก็จบมาจาก Engineer, Finance ซึ่งถ้ามหาวิทยาลัยจะดูที่ GPA ของแต่ละคนซึ่งจบจากคณะที่ต่างกัน ก็จะใช้วัดไม่ได้ เพราะเรียนยากง่ายไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้นก็เลยมีข้อสอบกลางที่คนทั้งโลกต้องทำเหมือนกันและวัดความสามารถได้จริงๆ ก็คือ GMAT นั่นเองครับ
Q5: ก็คือ Standardized test นั่นเอง แปลว่าถ้าน้องได้ GPA น้อย น้องก็สามารถใช้คะแนน GMAT ทดแทนได้ แล้วต้องได้ GMAT เท่าไหร่ ถึงจะรู้สึกอุ่นใจคะ?
การเข้า Top U มหาวิทยาลัยจะดู Resume, Essay, Recommendation Letter, Interview เป็นหลัก ตัวคะแนนเป็นแค่ส่วนหนึ่งที่จะบอกว่าน้องเรียนรอด แต่ถ้าจะเอาคะแนนให้อุ่นใจ ก็แนะนำให้ได้ 700++ ยิ่งถ้าได้ 730 ก็ยิ่งดี เพราะเท่ากับค่าเฉลี่ยของ Top U เช่น Harvard, Wharton, MIT ครับ
Q6: แล้วถ้าสอบ GMAT มา 5 ครั้งแล้ว คะแนนก็ยังไปไม่ถึงไหนเลย ทำอย่างไรดีคะ จะได้ไป Top U หรือไม่?
5 ครั้งที่น้องสอบไป น้องอ่านเองจนรู้สึกว่าสุดทางแล้ว หรือน้องคิดว่ายังสามารถพัฒนาต่อได้ ก็อยากให้ลองสู้อีกซักนิด เช่น ลงเรียนกับติวเตอร์ แล้วไปสอบอีก 3 ครั้ง แต่ถ้าทำมาทุกทางแล้ว คะแนนก็ยังเท่านี้ ก็ถือว่าสุดทางแล้วจริงๆ
Q7: แต่ถ้า 8 รอบแล้วล่ะคะ ทำอย่างไรดี?
ถ้า 8 รอบแล้ว ก็คือหมดสิทธิ์แล้วสำหรับ GMAT แต่ถ้าน้องอยากไปเรียนก็ยังมีทางเลือกอื่นอีก ทางเลือกแรกคือ ข้อสอบที่ชื่อว่า EA (Executive Assessment) ลักษณะของข้อสอบเหมือน GMAT เลย ซึ่ง GMAT จะมี 4 พาร์ท – AWA, Quant, Verbal, IR ส่วน EA จะมี 3 พาร์ท – Quant, Verbal, IR และจำนวนข้อสอบและเวลาในการทำข้อสอบสำหรับพาร์ท Verbal และ Quant ของ EA จะน้อยกว่า GMAT ครึ่งหนึ่ง ซึ่งจะทำให้ทำคะแนนได้ดีขึ้น ยกตัวอย่าง Full-Time MBA ที่รับคะแนน EA จะมี Columbia, Duke Fuqua, NYU Stern, CMU Tepper, UVA Darden
Q8: ถ้าน้องมาสุดทางแล้ว ลอง EA ก็เป็นตัวเลือกที่ดีนะคะ แล้วทางเลือกต่อไปล่ะคะ?
ทางเลือกที่ 2 คือ บางมหาวิทยาลัยให้น้อง Waive คะแนน GMAT ได้ แต่ต้องเขียน Essay เพิ่ม ซึ่ง Essay นี้น้องจะต้องอธิบายว่า ทำไมน้องถึงมีคุณสมบัติเพียงพอในการ Waive GMAT เช่น GPA น้องค่อนข้างดี, โปรแกรมที่เคยเรียนมามี Quantitative หรือ Analytical เยอะ, เคยได้ CPA / CFA แล้ว แต่การขอ Waive GMAT ก็มีเฉพาะบางมหาวิทยาลัย เช่น MIT Sloan, NYU Stern, Michigan Ross, UVA Darden, CMU Tepper, Cornell Johnson, UNC Kenan-Flagler, Texas McCombs, USC Marshall
Q9: อันนี้คือต้องส่ง Essay ไปหา Admissions Committee ก่อนที่น้องจะ Submit ไหมคะ?
ก็จะมี 2 แบบครับ แบบที่ 1 คือ ให้น้องส่ง Essay พร้อมกับแนบ Resume / Transcript / CFA / CPA / เอกสารต่างๆ ให้ทางมหาวิทยาลัยดูก่อน และทางมหาวิทยาลัยจะตอบกลับภายใน 5 วันทำการ ส่วนแบบที่ 2 คือ ส่ง Essay ขอ Waive GMAT พร้อมกับ Application ทั้งหมดไปพร้อมกัน
Q10: เป็นทางเลือกที่ดีนะคะ แต่ Option มหาวิทยาลัยอาจจะน้อยลง และก็ยังมีอีก 1 ทางเลือกคือโปรแกรมที่ไม่ต้องใช้คะแนน GMAT
ถ้าความฝันน้องคืออยากไปเรียน MBA แต่ทำคะแนนไม่ถึง ขอ Waive GMAT ก็ไม่ได้ น้องอาจจะดูว่า เราอยากไปเรียนอะไร เช่น Master in Finance, Master in Management, Master in Marketing ซึ่งโปรแกรมพวกนี้อาจจะไม่ Require คะแนน GMAT
พี่เชื่อว่าน้องๆ ทุกคนมีความฝันอยากจะไป Top U และหลายๆ คนก็สู้มาเยอะแล้ว อย่าพึ่งท้อนะครับ ยังมีโอกาสอีก ลองหา Weakness ของน้องให้เจอ ถ้าอ่านมาเยอะแล้ว ยังทำไม่ได้ ก็ลองไปหาที่เรียน แต่ถ้าสุดทางแล้ว ก็ดูทางเลือกอื่น แต่ถ้าไม่ได้เลยก็ทำ Application ต่างๆ ให้ดี ก็มีโอกาสครับ “ทำให้สุด จะได้ไม่เสียใจทีหลังครับ” “ช่วงเวลาที่ดีที่สุด ไม่ใช่เมื่อวานหรือพรุ่งนี้ แต่คือวันนี้ครับ”