Application Round แต่ละรอบมีผลต่อการตอบรับแตกต่างกันยังไง
# ROUND 1 หรือ Early decision
เป็นรอบที่เข้าง่ายที่สุด คนที่พร้อมแนะนำให้สมัครรอบ Early decision เลย เพราะว่า Early decision ยังไม่ได้เปิดรับใครมาก่อน เข้าง่ายกว่ารอบอื่นแน่นอน ไม่ได้เพราะลดกฎเกณฑ์ แต่เพราะคนแข่งขันน้อย รอบ Early decision จึงมีโอกาสมากที่สุด
ข้อดีนอกจากโอกาสเข้าได้ง่ายกว่ารอบอื่นแล้ว จะได้ทุนการศึกษาจำนวนที่มากกว่าด้วย รอบแรกส่วนใหญ่จะได้ทุนเยอะ บางคนได้มากกว่า 50% แล้วรอบแรกเหมาะกับคนที่มี profile แบบ Typical Background หรือ Overrepresented Background ที่แข่งขันกันสูง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มที่มาจากสายธุรกิจ สายธนาคาร สายบัญชี นักวิเคราะห์ อยากให้สมัครรอบแรก
# ROUND 2
เป็นรอบที่มีคนสมัครเยอะที่สุด แนะนำให้น้องทำโปรไฟล์ให้โดดเด่นมากๆ เพราะว่าถ้าอยู่ในสาย Banking , Engineer, Consulting ที่ซ้ำกันเยอะๆ ในรอบแรกทางมหาวิทยาลัยรับไปเยอะแล้ว ถ้าจะรับคนที่มีโปรไฟล์ ซ้ำอีก ดูว่ามีความโดดเด่นยังไง ทำไมถึงจะรับซ้ำ
เวลาทำ Essay หรือตัว Interview Story ของเราควรแตกต่าง ในเรื่องของเป้าหมาย การเสริมกิจกรรมที่ทำ หรือกิจกรรมเพื่อสังคม อันนี้ก็สามารถทำให้น้องเข้าได้เหมือนกัน
# ROUND 3
เป็นรอบที่เข้ายากที่สุดเพราะว่า ที่ว่างเหลือน้อยแล้ว ทางมหาวิทยาลัยอาจจะรับไปแล้ว 70-90% ที่ว่างเหลือน้อยมาก ถ้าน้องจะสมัครรอบที่ 3 พี่จะถามน้องก่อนว่า น้องมี 3 ข้อต่อไปนี้มั้ย
ข้อ 1 ตัวคะแนนทั้ง GPA , GMAT มีคุณสมบัติโดดเด่นมาก (Overqualified) เช่น มหาวิทยาลัยบอกว่าคะแนน 600 แนะนำให้น้องได้ 700 คะแนน จนทางมหาวิทยาลัยอยากได้
ข้อ 2 ไม่ใช่สาย Business , Engineer , Consulting แต่ถ้าใช่ควรแตกต่าง เช่น ได้ทุน Fulbright ทางมหาวิทยาลัยถือว่าคนที่ได้ทุนนี้เก่งมาก แต่ถ้าได้ทุนของบริษัทไปเรียนถือว่ายังไม่โดดเด่นมาก เพราะในอังกฤษและอเมริกา ทุนบริษัทส่งไปเรียนต่อโทเยอะมาก
ข้อ 3 แนะนำให้น้องๆมีกิจกรรมอะไรที่โดดเด่นแตกต่าง เช่น เคยช่วยก่อตั้งมูลนิธิ เข้าไปช่วยงานมูลนิธิ หรือทำกิจกรรมเพื่อสังคม ในรอบ 3 คะแนน โปรไฟล์กิจกรรม มีคุณสมบัติโดดเด่นถึงจะสมัครได้ เพราะเข้ายากจริงๆ
เงื่อนไข 3 ข้อที่ควรรู้
#ข้อ1 Top 10 Business school ในอเมริกา รอบ 1,2 จะรับคนเยอะ รอบสุดท้ายรับน้อยมาก เข้ายากมาก โดยเฉพาะถ้าเป็นเด็ก International students ของอเมริกาทางมหาวิทยาลัยกลัวเรื่องของการขอวีซ่าไม่ทัน
#ข้อ 2 ถ้าเป็น Top 50 ของอเมริกายังพอสมัครได้ คือคนส่วนใหญ่ก็อยากจะสมัคร Top 10 Top 15 Top 20 ก่อน แล้วมหาวิทยาลัยที่อยู่ใน Top 50 ของอเมริกาเหมือนเป็นตัวเลือกตัวสำรองจะมีที่ว่างอยู่
#ข้อ 3 หลายๆประเทศยังสมัครได้อยู่ เพราะเกลี่ยรับสมัครแต่ละรอบพอๆกัน หรือว่าการแข่งขันไม่สูงมาก เพราะคนไม่ได้นิยมจะไปเรียนต่อ Top u เช่นประเทศในยุโรป ในเอเชีย